เนื่องจากผมก็เป็นคนหนึ่งที่แทบจะขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นเลย คือ
- ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์แบบมีคลัชมาก่อน (ปกติเคยแต่ขี่ประมาณ wave, หรือ Fino บ้างเป็นครั้งคราว ไม่ได้ใช้ประจำ)
- ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ ออกถนนใหญ่มาก่อนเลย (ปกติเคยแต่ถนนในหมู่บ้านตาม ตจว. ไปซื้อขนม ระยะทางไม่เกิน 1 กม. จากที่พัก)
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมาถึงกำหนดวันนัดรับรถ monster 795ABS ที่ศูนย์ทองหล่อ ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นไม่ตื่นเต้นเรื่องจะได้รถแล้ว แต่เครียด และ กังวลเรื่องจะเอารถกลับบ้านยังไงมากกว่า ตัดสินใจอยู่นานว่าจะหารถกระบะไปขนมา หรือ จะลองเสียงขับรถกลับบ้านมาเองเลยดี ... ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง (ไปรับรถคนเดียวเลย) ซึ่งหลังจากที่ได้ลองขับครั้งแรก สรุปได้ประมาณนี้ (เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับมือใหม่ท่านอื่นๆ ซึ่งผมเชื่อว่ามีอยู่อีกหลายท่านครับ)
- การเลี้ยงคลัชไม่ให้เครื่องดับ ไม่ได้ยากอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยขับรถมอเตอร์ไซค์มีคลัชมาก่อนเลย แต่ผมหัดขับรถยนต์จากรถเกียร์กระปุก(มีคลัช) และใช้รถเกียร์กระปุกอยู่หลายปี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรถยนต์เกียร์ออโต้ (จริงๆผมชอบขับรถเกียร์กระปุกมากกว่านะ แต่หลังๆนี่รถเกียร์กระปุกรุ่นกลางๆขึ้นไปจะไม่มีขายแล้ว ทำออกมาเป็นเกียร์ออโต้หมด) ทำให้สามารถจับจังหวะการเลี้ยงคลัชโดยไม่ให้รถดับได้ไม่ยาก ซึ่งเหมือนกับรถยต์เลย แค่เปลี่ยนจากการใช้เท้าเหยียบ มาเป็นการกำ แล้ว ปล่อยแทน
- เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ ใหคำแนะนำเรื่องการขับรถได้ดีมากครับ ซึ่งผมบอกกับเซลไปตรงๆ เลยว่าผมขับรถมอเตอร์ไซค์แบบมีคลัชไม่เป็น และ ไม่เคยขับรถมอเตอร์ไซค์ออกถนนใหญ่มาก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำตั้งแต่ท่านั่ง วีธีการจับแฮนด์ วิธีการจับก้านคลัช ก้านเบรค การเปิด การปิดคันเร่ง อย่างถูกวิธี ซึ่งช่วยเป็นข้อมูลในการขับรถได้เป็นอย่างดีมากๆ ครับ
- ถึงตอนออกถนนใหญ่ครั้งแรก ผมขับแบบค่อยๆไป เน้นปลอดภัย ไม่แน่ใจอะไรก็จะไม่เสี่ยงเด็ดขาด คือ ถ้าตรงใหนไม่มั่นใจว่าจะไปได้ ก็จะไม่ไป หรือจอดรอให้รถคันอื่นไปก่อนเลย โดยไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม หรือ ขายหน้าอะไร (ซึ่งถ้าเกิดล้ม หรือ ชนขึ้นมา จะทำให้เสียฟอร์มและเสียเวลามากกว่า) ทำให้การขับรถออกถนนใหญ่ครั้งแรกของผม เป็นการขับที่ถูกต้องตามกฏจราจรแบบสุดๆ คือ ขับด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ขับชิดเลนซ้ายตลอด ถึงแม้จะเจอรถเมล์จอดป้าย รถเลี้ยวซ้ายเข้าซอยต่างๆ ผมก็ไม่ปาดออกเลนขวา บางทีจอดรอเลย ทำให้พอขับไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เกิดความมั่นใจในการขับขึ้นเรื่อยๆ และ สามารถจับจังหวะการเปลี่ยนเลนต่างๆ ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
- ประสบการณ์การขับรถยนต์มาก่อน ช่วยได้ครับ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าถ้ารถวิ่งมาลักษณะนี้ จะไปยังไงต่อ น่าจะเลี้ยวยังไง หยุดยังไง เปลี่ยเลนยังไง เหมือนกับเป็นการเอาใจเขามาใส่ใจเราครับ
- ควรปรับกะจกมองหลังให้อยู่ในมุมมองที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ก่นออกจากศูนย์ และควรมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆตัวอยู่เรื่อยๆ ชำเลืองมองดูกระจกมองหลังเป็นระยะๆ จะทำให้รู้ว่าตอนนี้สภาพรอบๆ ตัวเราเป็นอย่างไร ควระจะหยุด ควรจะเร่ง ควรจะเปลี่ยนเลน ควรจะแซง หรือไม่ อย่างไร
- ถุงมือเป็นสิ่งจำเป็นในการขับขี่ ซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะจำเป็นขนาดนั้น เลยยังไม่ได้ซื้อไว้ ทำให้มีผลตอนกำคลัช เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ สอนให้จับก้านคลัช และ ก้านเบรค แบบ V-grip คือ ใช้แค่นิ้วชี้ และ นิ้วกลาง เกี่ยวก้านเบรค และ ก้านคลัช ไว้เป็นรูปตัว V แล้วใช้นิ้วที่เหลือกำแฮนด์ และ ควบคุมคันแร่ง (ไม่ได้กำก้านเบรค และ ก้านคลัช ด้วยนิ้วทั้ง 4 เหมือนที่คุ้นเคย) และเวลากำคลัชไม่ต้องกำให้สุด แต่เนื่องจากตอนขับใหม่ๆ ยังกะจังหวะการกำคลัชไม่ค่อยได้เนื่องจากยังเกร็งๆ อยู่ ทำให้กำคลัชจนสุดบ่อยๆ เลยทำให้ก้านคลัชไปหนีบกับนิ้วที่จับแฮนด์อยู่ โดนหลายๆ ทีก็เจ็บเหมือนกัน ซึ่งถ้าใส่ถุงมือ จะช่วยลดปัญหานี้ได้ และทำให้จับแฮนด์ได้กรับชับขึ้น และปลอดภัยมากขึ้นเวลาเกิดอุบัติเหตุด้วย
- โม่ง และ ปลอกแขน เป็นสิ่งที่ควรจะมี ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เข้าใจว่าพวกที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ทำไมถึงชอบใส่โม่ง หรือ ปลอกแขนกัน ดูเหมือนจะเวอร์ไปหรือเปล่า ... แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้วครับ และจะไปหามาใส่มั่ง เนื่องจากขณะขับรถ ซึ่งกว่าผมจะได้รับรถก็เป็นช่วงเย็นๆ ค่ำๆ แล้ว ไม่มีแดด แต่อากาศอบอ้าว ทำให้มีเหงือชุ่มไปทั้งตัว เวลาถอดเสื้อแจ็คเก็ต และถอดหมวก รู้สึกได้เลยว่าแขนเสื้อติดกับแขนเราซึ่งชุ่มไปด้วยเหงือ รวมถึงหมวกกันน็อคด้วย จะชุ่มไปด้วยเหงือที่ติดมากับผม และหน้า ... และถ้าเป็นช่วงกลางวันที่แดดจัดๆ จะแค่ใหนละเนี่ย
ในที่สุด ผมก็กลับถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพ ... โล่งอกไปที