Test Ride : Ducati Multistrada 950 Every Road Touring

หลังจากที่ Ducati Multistrada 950 เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีที่งาน WSBK ที่บุรีรัมย์ ก็มีลูกค้าและเพื่อนๆ  ให้ความสนใจกับรถรุ่นนี้เป็นอย่างมากนะครับ สำหรับผมแล้ว รถรุ่นนี้ออกมาได้พอดิบพอดี กับกระแสการขับขี่ท่องเที่ยวเดินทางไกล ซึ่งตอนนี้หลังจากที่ดูคาติผลิตรถประกอบไทยออกมาตั้งแต่ปี 2012 ผู้ใช้หลายคนได้ออกรถคันแรก และขี่กันจนชำนาญ รับรู้ถึงความน่าเบื่อของการขนสัมภาระ ยิ่งถ้ามีแฟนซ้อนท้ายด้วยแล้ว การมองหารถสไตล์ทัวร์ริ่งไว้ใช้งานสักคัน ดูจะเป็นคำตอบที่น่าสนใจ

และหนึ่งในนั้นที่ทุกคนจับตามองในเวลานี้คือ Ducati Multistrada 950

ด้วยความที่เป็นรถเอนกประสงค์ ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการลงสนาม ขี่ในเมือง ลุยดิน และที่สำคัญคือ ขี่ท่องเที่ยวเดินทางไกลรวมถึงการเก็บสัมภาระได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้า Multistrada 950 จึงมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ยิ่งราคาที่ดูคาติไทยแลนด์ประกาศขายออกมา เบียดสู้ สูสี กับค่ายอื่น ๆ ได้สบาย ทำให้ยอดจองในงานมอเตอร์โชว์2017 ที่ผ่านมา Multistrada 950 สามารถผงาดคว้าลำดับที่ 1 ในยอดจองรถสัญชาติอิตาลีไปจนได้  มันมีอะไรดี ? ฟิลลิ่งการขับขี่เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ เป็นอย่างไร ? คุ้มค่าไหม ถ้าจะซื้อ ?  พบคำตอบได้ครับ

เริ่มต้นกันที่ราคารถกันก่อน เป็นดังนี้ครับ

Multistrada 950 Red ราคา 619,900 บาท
Multistrada 950 White ราคา 629,900 บาท
Multistrada 950 Red Adventure ราคา 698,900 บาท
Multistrada 950 White Adventure ราคา 708,900 บาท
Multistrada 950 Red Adventure Touring ราคา 777,900 บาท
Multistrada 950 White Adventure Touring ราคา 787,900 บาท

Multistrada 950 Adventure มาพร้อมกับ
-Spoke rim set
-Center stand
-Side tank protectors in steel tubing
-Engine cover plate

Multistrada 950 Adventure Touring มาพร้อมกับ
– Spoke Rim Set
– center Stand
– Side Tank Protectors in Steel Tubing
– Engine Cover Plate
-Aluminum side panniers
-Set of additional LED headlamps
-Protective mesh for water rad
-Protective mesh for oil cooler

จะเห็นได้ครับ ว่าราคาเริ่มต้นที่ 6 แสนบาท นั้น มันช่างยั่วยวน ชวนให้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับไบเกอร์ที่กำลังมองหารถทรงทัวร์ริ่งสักคันจริง ๆ และก็สามารถเบียดราคาตีคู่ สูสีกับคู่แข่งได้อย่างน่าสนใจ กับรถพิกัด 1000cc. ความเร็วสำหรับการเดินทางและการใช้งานนั้น จัดได้ว่า “เหลือๆ” แล้วครับ

โดยหัวข้อในการรีวิว เพื่อความกระชับชัดเจน เป็นดังนี้ครับ
: ภาพลักษณ์ภายนอก และสัดส่วนโดยทั่วไป
: เทคโนโลยีของตัวรถ
: การขับขี่จริงช่วงรถติด/ช่วงถนนโล่ง
: ค่าบำรุงรักษา และระยะการเข้าเซอร์วิส
: ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับราคา
: สรุปข้อดี/ข้อเสีย และความเหมาะสมกับผู้ขับขี่

 

ภาพลักษณ์ภายนอก และสัดส่วนโดยทั่วไป

สำหรับเรื่องภาพลักษณ์และสัดส่วนรถนั้น ต้องบอกว่ามิติต่าง ๆ ของตัวรถไม่ได้ต่างไปจากรุ่นพี่ Ducati Multistrada 1200DVT เลยครับ สิ่งที่แตกต่างพอจะเห็นได้ชัดเจนบ้าง นั่นก็คงจะเป็นสวิงอาร์มคู่ (double-sided swingarm) ที่ติดมากับรถซึ่งต่างจากรุ่นพี่ที่เป็น Single sideก swingarm ครับ

รูปบนซ้าย : ภาพด้านฝั่งขวาของตัวรถ จะเห็นสวิงอาร์มได้อย่างชัดเจนครับ ซึ่งถึงจะไม่ใช่อาร์มเดี่ยว แต่สิ่งที่แลกมา นั่นก็คือความแข็งแรงของช่วงล่างนะครับ  ส่วนทรงท่อที่เห็นยกขึ้นเหนือล้อ ก็ไม่ได้ดูขัดเท่าไหร่ สวยงามดีครับ

รูปบนขวา : ทัศนวิสัยของผู้ขับขี่เมื่ออยู่หลังแฮนด์บาร์นะครับ ในส่วนของแผ่นบังลมติดรถที่ให้มานั้น ใหญ่โตตัดลมได้ดีมากพอแล้วครับ และช่วงเว้าด้านล่างของแผ่นบังลม ผมว่ามันทำให้ลมยังพอเข้ามาได้บ้างทำให้ไม่ร้อนแขน และเวลาขี่เร็ว ๆ ผมว่าแรงลมที่พัดเข้ามาแรง ๆ มันช่วยบีบลดตัวรถทำให้รถนิ่งขึ้นครับ

รูปล่างขวา : ไฟเลี้ยวของตัวรถ ติดอยู่ที่การแฮนด์นะครับ ใหญ่โต สวยงามครับ แต่ถ้าล้มแล้วแตกขึ้นมา ก็ 4,000 กว่าบาทนะครับผม

Ducati Multistrada 950 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ Testastretta ความจุ 937 ซี.ซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำให้ความร้อนเครื่องยังคงเสถียร พร้อมแรงม้าสูงสุดที่ 113 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที (ส่วนแรงบิดสูงสุดเคลมไว้ที่ 96.2 นิวตัน-เมตร ที่ 7,750 รอบ/นาที)

ถามว่าเครื่องตัวนี้ เมื่อได้ลองขี่จริงแล้วความรู้สึกเป็นอย่างไร สำหรับผู้เขียนเอง ซึ่งใช้รถ Mutistrada 1200 ปี2013 อยู่ ต้องขอบอกว่า เจ้า Multistrada 950 คันนี้ ให้อัตราเร่งตอบสนองที่สมูท ขี่แล้วมีความสุขมากครับ เดี๋ยวเราไปรีวิวเต็ม ๆ อีกทีในหัวข้อการขับขี่นะครับ

รูปซ้าย : เครื่องยนต์ L-Twin Testastretta 11° หัวใจหลักของรถคันนี้

รูปขวาบน : เบรคหน้าจัดเต็มกับ Radially Mounted Brembo Monobloc แบบ 4 ลูกสูบ ขนาด 320 ม.ม.(with ABS)  ส่วนเบรคหลังเป็นแบบคาลิเปอร์เดี่ยว 2 ลูกสูบ ขนาด 265 ม.ม. (with ABS) 

รูปขวาล่าง : การ์ดกันล้มจัดเต็มกับยี่ห้อ Touratech (Side tank protectors in steel tubing) จากที่ดูน่าจะกันช่วงแฟริ่งได้ดีครับ แต่ถ้าล้มจริงการ์ดแฮนด์คงไปก่อน

Multistrada 950 มากับโช้คอัพหน้าจาก KYB ขนาด 48 mm ให้ช่วงยุบตัวมากสุดที่ 6.7 นิ้ว  และที่สามารถปรับตั้งค่าพรีโหลด และรีบาวน์ ได้แบบละเอียด ส่วนโช้คอัพหลังแบบเดี่ยวของ Sachs ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าต่างๆได้เช่นกัน ในขณะที่ยังคงล้อหน้า/ หลัง ขนาดและแบบเดียวกันกับที่ใช้ในรุ่น Multistrada 1200 Enduro คือ หน้า 19 นิ้ว และหลัง 17 นิ้ว ส่วนยางนั้น ใช้ซีรีย์ที่สามารถใช้งานได้ครอบคลุมอย่าง Pirelli Scorpion Trail II

รูปบนซ้าย : โช้คอัพหน้าปรับความแข็ง/หนืด ได้ ขนาด 48 mm

รูปกลาง : ล้อ Tubeless แบบซี่ลวด ที่นำซี่ลวดมาไว้ด้านข้างล้อ ให้ทั้งความยืดหยุ่นในการขับขี่ นุ่มนวล และเปลี่ยนยางได้ง่าย

รูปล่างขวา : โช้คอัพหลัง Sachs

รูปบนซ้าย : การ์ดกันกระแทกเครื่องยนต์ (Engine cover plate)

รูปล่างซ้าย : โช้คอัพหลัง Sachs พร้อมหัวหมุนปรับละเอียด

รูปบนขวา : รังผึ้งหม้อน้ำระบายความร้อนเครื่องยนต์

รูปล่างขวา : ไฟหลัง ขี่แล้วสวยงามครับ

สำหรับเรื่องสัดส่วนของตัวรถผู้ขี่สูง 175 ซม.ครับ กับเบาะของ Multistrada 950 ที่สูง  840 mm ปลายเท้าแตะถึงพื้นประมาณอุ้งเท้าด้านบนครับ ก็ถือว่ายังขี่ได้คล่องครับ (เบาะสามารถปรับเปลี่ยนให้สูงขึ้นหรือเตี้ยลงได้ระหว่าง 820 – 860 mm และเวลามองไปข้างหน้า สายตาจะพ้นแผ่นบังลมพอสมควร มองไกลชัดเจนครับเวลาเดินทาง ส่วนถ้าต้องการหลบลม ก็แค่ก้มศรีษะลงหน่อย ลมก็จะปะทะแผ่นบังลม และปะทะหมวกกันน็อคด้านบน ๆ ไม่ส่งผลกระทบกับศรีษะมากแล้วครับ

เทคโนโลยีของตัวรถ

สำหรับเทคโนโลยีที่ติดรถมานั้น จุดเด่นๆ ของรถคันนี้คงเป็นเรื่องความปลอดภัย ที่จัดมาให้เต็มที่กับ Ducati Safety Pack (DSP) ครับ ซึ่งใน Multistrada 950 นั้นได้ให้ Bosch 9.1MP ABS ซึ่งสามารถปรับได้ 3 ระดับ และ Ducati Traction Control (DTC) ซึ่งสามารถปรับได้ 8 ระดับ เพื่อให้ทำงานประสานกันระหว่างการเบรคและการบังคับรถให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุดตามแต่สภาพถนน ติดรถมาเป็นมาตรฐานทุกคันครับ

ในภาพทั้ง  4 ด้านบนนี้ จะเป็นหน้าจอแสดงผลในแต่ละ Riding Mode การทำงานนะครับ ยิ่งตัวเลขเยอะ รถก็จะยิ่งตอบสนองต่อเซ็นเซอร์ไว และทำงานเร็วขึ้น ดังนี้ครับ

Mode SPORT #  ABS=2, DTC=4

Mode TOURING #  ABS=3, DTC=5

Mode URBAN #  ABS=3, DTC=6

Mode ENDURO #  ABS=1, DTC=2

โดยการปรับรายละเอียด ABS และ DTC นั้น ผู้ขับขี่สามารถปรับค่าได้ใหม่ ตามแต่ใจต้องการเพื่อให้เหมาะกับสภาพถนนที่ขี่ได้ครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าโหมด ENDURO นั้น ค่าที่เซ็ทเดิม ๆ มาจากโรงงานจะเน้นให้ตัวเลขน้อย ๆ เพื่อให้รถสามารถล้อหมุนฟรี สำหรับตะกุยดินไปได้นะครับ แต่โหมด URBAN นั้น เหมาะกับการขี่ในสภาพที่ฝนตก ที่เราไม่อยากให้รถลื่นครับ คือเมื่อรถเกิดอาการล้อหมุนฟรี ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ทันที เพื่อให้ล้อหยุดหมุนฟรี ป้องกันล้อปัดจนล้ม ผสานการทำงานร่วมกับ ABS นะครับ

รูปบนขวา : การแสดงผล Riding Mode ต่าง ๆ ทั้ง 4 โหมด จะอยู่มุมนี้ครับ

รูปล่างขวา : การปรับแผ่นบังลมหน้า สามารถปรับง่าย ๆ ด้วยการบีบคลิปล็อคด้านบนแดชบอร์ด ซึ่งสามารถปรับความสูงได้ตลอดระหว่างการขับขี่ครับ

 การขับขี่จริงช่วงรถติด/ช่วงถนนโล่ง

มาถึงช่วงการขับขี่ ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองถือเป็นไฮไลท์ของบทความนี้เลยก็ว่าได้ครับ เพราะถึงจะให้รถที่สเปคดี อัดแน่นยังไง ถ้าฟิลลิ่งการขับขี่ หรือกำลังเครื่องยนต์มันไม่ได้ รถคันนั้นก็ไม่น่าใช้ และถือว่าสอบตกไปนะครับ

สำหรับเจ้า Multistrada 950 คันนี้ที่ผมได้ทดลองขี่นั้น เป็นตัว Multistrada 950 Red Adventure ครับ เป็นรุ่นกลางที่ไม่มีกระเป๋าข้างมาให้(เจ้าของบอกจะไปหาซื้อแบบที่ชอบมาใส่เอง) ซึ่งล้อนั้นเป็นล้อซี่ลวด เมื่อแรกเริ่มคล่อมนั้น รถให้ความรู้สึกถึงความสูงที่ไม่ต่างไปจากตัว Multistrada 1200 DVT ครับ  และเมื่อผมลองจับรถเหวี่ยงขาตั้งขึ้นเพื่อตั้งรถให้ตรง สิ่งที่รู้สึกคือ รถมีน้ำหนักเบากว่าตัวรุ่นพี่นิดหน่อย แต่จริง ๆ อาจเกิดจากน้ำมันไม่เต็มถังก็เป็นไปได้ครับ (Multistrada 950 หนัก 229 kg , Multistrada 1200 DVT หนัก 232 kg) ส่วนน้ำมันเต็มถังนั้น ขนาดเท่ากันทั้งคู่ คือ 20 ลิตร

ครัชสาย ไม่ใช่ปัญหา : เมื่อเริ่มทดลองออกรถไป สิ่งหนึ่งที่ผมยังกังวลนิดหน่อย และพยามจับความรู้สึกมากหน่อย นั่นคือ ครัชสายครับ เพราะคิดมาตลอดว่าครัชสายจะต้องแข็งกว่าครัชน้ำมันแน่นอน แต่หลังจากที่ขี่ไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าก็ปกติครับ ก็นิ่มดีนี่นา ไม่ได้รู้สึกแย่ หรือแตกต่างอะไร ข้อดีเสียอีกที่บำรุงรักษาง่าย ถือว่าใช้งานได้ดีครับ

รูปล่างซ้าย : ปุ่มควบคุมทางด้านGrip ซ้ายมือ

รูปล่างขวา : ปุ่มควบคุมต่าง ๆ ทางด้นา Grip ขวามือ

MODE SPORT เหมือนมี TEC เปิดสายลมระลอก 2 : การทดสอบครั้งแรกผมใช้ Mode Sport ครับ หลังจากออกตัวไป และเริ่มทำความเร็วไต่ระดับขึ้น จากเกียร์ 1 ไปเกียร์ 2 ไปเรื่อยๆ พบว่า รถเป็นมิตรกับผู้ขับขี่มาก การบิดเร่งไม่ได้กระชากอารมณ์ผู้ขับขี่จนต้องระแวดระวังว่าจะหงายเงิบไป แต่หากมีการเตรียมก้มตัวเอนไปด้านหน้าเพื่อให้ร่างกายผสานบาลานซ์กับแรงกระชากบ้าง ก็จะขับขี่ได้อย่างราบรื่นครับ และที่สำคัญคือ หากต้องการแรงบิดกระทันหัน เช่นตอนเราต้องการเร่งเครื่องให้ทันขบวนรถ หรือต้องการแซงในภาวะฉุกเฉิน รถคันนี้ก็เหมือนมีแรงบิดเพิ่มเติมรอไว้อยู่แล้ว รู้สึกได้ทุกเกียร์ครับ ที่ประมาณ 5000 กว่ารอบได้ขึ้นไป หลังจากบิดสมูท ๆ ค่อย ๆ ไล่คันเร่ง หากอยู่ๆ บิดหมดปลอกกระทันหัน มันจะมีเสียงเครื่องดังอีกคาแรคเตอร์นึง และรถก็มีกำลังเร่งบิดออกไปได้แบบคนละเรื่องกับตอนแรกเลย ฟิลลิ่งนี้บอกเลยว่า สนุกและมีชีวิตชีวาหลังแฮนด์มากๆครับ

MODE URBAN ไว้ใจได้ ให้รถดูแล : หลังจากลอง Mode SPORT กันไปแล้ว ก็ไม่พลาดที่จะต้องลองโหมดที่แตกต่างกันที่สุดนั่นก็คือ โหมด URBAN ครับ ซึ่งผมปรับใช้ตอนช่วงเข้าโค้งขึ้นลงในเขา ต้องขอบอกว่ากำลังเครื่องและม้าถูกตัดลงจนรู้สึกได้ อัตราแรงบิดที่ตอบสนองกับคันเร่งนั้น ตื้อลงไปทันที แต่สิ่งที่ได้มาคือ การเข้าโค้งที่มั่นคงขึ้น ไม่หวือหวา และเมื่อถึงตอนบิดออกจากโค้งเพื่อตั้งรถตรง คันเร่งตอบสนองแบบมั่นคง เรียกได้ว่า มั่นใจขึ้นมากครับ แถมด้วยการขี่ลุยฝนในวันเดินทางกลับ พอปรับเป็นโหมด URBAN แล้ว แม้เราจะไม่ได้ขี่ผิดพลาดจนต้องใช้งาน ABS หรือ DTC ก็ตาม แต่สิ่งที่ได้มาคือ “ความรู้สึก” สบายใจขึ้นของตัวผู้ขับขี่ครับ ว่าหากรถลื่นล้อฟรี ระบบจะช่วยตัดการทำงานเครื่องยนต์ให้ และหากล้อล็อค ABS ก็จะช่วยในการหักเลี้ยวให้บ้าง มันรู้สึกดีครับ

ความร้อน !! ร้อนครับ แต่น้อยกว่ารุ่นอื่น : อีกเรื่องนึงคือการขับขี่ในย่านความเร็วต่ำ ในเมืองครับ ซึ่งผมพยายามจับความรู้สึกมาเขียนรีวิวหลักๆ 2 เรื่องนั่นคือ การมุด การแทรกรถ และอีกเรื่องคือ เรื่องของความร้อนครับ สำหรับเรื่องการมุด การแทรกนั้น หากผู้ขี่มีความชำนาญ และมีความสูงตั้งแต่ 170 ซม.ขึ้นไป ก็จะสามารถขี่แทรกตามช่องต่าง ๆ และเปลี่ยนเลนแทรกได้ไม่ยากเกินไปครับ เรื่องนี้คงอยู่ที่สรีระผู้ขับขี่ด้วยครับ ส่วนการมุดทางตรงนั้น ถ้ากระจกรถผ่านไปได้ รถก็ผ่านไปได้ทั้งคันอยู่แล้วไม่ยากครับ

เรื่องความร้อนนั้น ยังคงมีอยู่เช่นเดิมครับ ระหว่างติดไฟแดง ความร้อนจากภายนอกก็ว่าแดดแรงอยู่แล้ว แต่ก็หาสู้ความร้อนที่แผ่ออกมาจากเครื่องยนต์ไม่ได้ครับ การนั่งบนรถที่ติดไฟแดง ควรต้องหาท่านั่งที่สามารถยกขาออกมานอกเบาะให้ได้เยอะ ๆ เพื่อให้ลมร้อนพัดผ่านไปไม่โดนน่องขาเรา หรือโดนให้น้อยที่สุดครับ แต่โดยรวมแล้วบอกเลยว่ามันร้อนน้อยกว่าหลายๆรุ่นนะครับ สำหรับผมยังสบายๆ เพราะผมเชื่อว่าคนที่ออกรถรุ่นนี้น่าจะใช้รถท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด ซึ่งเจอรถติดน้อยมากกว่าในเมืองเยอะครับ

ค่าบำรุงรักษา และระยะการเข้าเซอร์วิส

สำหรับหัวข้อนี้นั้น ปัจจุบันหลังวันวาเลนไทน์ปี 2560 ที่ผ่านมา ดูคาติได้ประกาศลดค่าเซอร์วิสลงแล้ว ทำให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจจะซื้อรถดูคาติสักคันนึง น่าจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะครับ

โดยรถ Multistrada 950 นั้นใช้เครื่องตัวใหม่ ซึ่งข้อดีคือ ระยะ Desmo Service ยืดออกไป จากเดิมที่ 24,000 km เป็น 30,000 km ครับ กับราคาใหม่ ที่ถูกลงมาตามตารางด้านล่างนี้เลยครับ คือ เช็ค พันกิโลแรก แค่ 1,990 บาท และเช็คระยะ 15,000 km ที่ราคา 5,990 บาท และเช็คใหญ่ตั้งวาวล์ Desmo Service ที่ระยะ 30,000 km ที่ราคา 17,900 บาท ครับ

 ราคาอะไหล่สิ้นเปลืองหลักๆ อีกหลายรายการก็ถูกปรับลดลงมาครับ ไม่ว่าจะเป็นโซ่ สเตอร์ ผ้าเบรค หรือแบตเตอรี่ ก็ตาม ผมว่าดีนะครับ มีตารางการเซอร์วิสให้ผู้สนใจได้ดู และตัดสินใจเลย ว่ารับได้ไหม ซึ่งถ้าถามผม ใครที่ซื้อรถดูคาติหลังกุมภาพันธ์2017 เป็นต้นมา คุณโชคดีมากๆแล้วครับ

ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับราคา

กับรถสไตล์ทัวร์ริ่่ง ที่หน้าตาและมิติไม่ได้ต่างจากรุ่นพี่ 1200 เลย ให้พร้อมกับระบบความปลอดภัยพื้นฐานจัดเต็มมั่นใจได้ กับเครื่องยนต์สเปค 1000cc. ในราคาเริ่มต้นที่ หกแสนบาท ผมว่าจริง ๆ ยังมีอีกหลายค่ายเป็นตัวเลือกที่ดีครับ ราคาถูกกว่าก็มีเยอะ แม้สมรรถนะอาจด้อยกว่าบ้าง แต่คุณก็มีเงินเหลือสำหรับจ่ายค่าบำรุงรักษาและค่าน้ำมันได้อย่างสบายใจครับ แต่ถ้าคุณสนใจและรักในแบรนด์ดูคาติเป็นพิเศษอยู่แล้ว หรือปัจจุบันใช้รถดูคาติรุ่นอื่นอยู่ และกำลังมองหารถสไตล์นี้ไว้ใช้งานเดินทางไกลสักคัน ก็ต้องขอบอกเลยว่ามันโครตคุ้มเลยครับ ผมไม่รู้ว่าควรจะเทียบกับอะไร ที่บอกว่าโครตคุ้ม แต่ผมเชื่อว่าหลายคนที่ออกรถไว้เดินทางไกล ไม่จำเป็นต้องออกเครื่องโต ๆ อย่าง 1200cc หลอกครับ แค่เจ้า   Multistrada 950 นี่ก็เหลือแหล่แล้ว กับความเร็วระดับ 170 km ที่ยังนิ่งๆ สบายๆ ขนสัมภาระได้เต็มที่ หน้าตาก็หล่อพอ ๆ กัน  ถ้าเงินเหลือ ก็จัดตัว 1200 ได้ครับ เพราะยังไงกำลังเครื่อง แรงบิดก็ยังแตกต่าง  แต่สำหรับผม คันนี้มัน “พอ” แล้วครับ กับทุกฟังชั่นการใช้งาน นั่นล่ะครับ ทำไมผมถึงบอกว่ามัน “โครตคุ้ม”

 

 สรุปข้อดี/ข้อเสีย และความเหมาะสมกับผู้ขับขี่

ข้อดีของรถคันนี้

1.หลักๆ เลยน่าจะเป็นเรื่องราคาครับ ทั้งๆ ที่หน้าตาหล่อเหมือนรุ่นพี่ แต่ราคาลงมาเกือบครึ่งนึง ถ้าก่อนหน้านี้กำลังมองตัว 1200 อยู่ละก็ ต้องขอทบทวนอีกสักที เว้นแต่คุณจะมีเงินเหลือพอและอยากได้สมรรถนะกับความสะดวกสบายๆอื่นๆเพิ่มเช่น Cruise Control ที่แสนเป็นมิตรตอนขี่ทางไกลในรุ่น 1200

2.กำลังเครื่องยนต์ที่ให้มาบอกได้ว่าเหลือแล้วครับ ผมไม่ได้ลองท็อปสปีดนะครับ แต่ขี่ไปถึง 180km แม้จะไม่ได้บิดติดมือเหมือนรุ่นพี่ แต่รถก็ไปได้นิ่งๆ เหลือเฟือครับ ไม่ว่าจะบนถนนดำในการเดินทางไกลหรือในสนามแข่งก็ตาม

3.ค่าบำรุงรักษาต่ำลง เรื่องนี้คงไม่ใช่ข้อดีของเฉพาะรถคันนี้ แต่ได้รับอานิสงฆ์กันทั่วหน้าสำหรับลูกค้าทุกคนที่ใช้รถดูคาตินะครับ

4.มีกลุ่มคลับ Multistrada คอยรองรับเพื่อนๆ แม้เรื่องนี้จะนอกเหนือจากเรื่องรถ แต่ผมว่าการออกรถสไตล์นี้มาขี่คนเดียวมันคงเหงาน่าดูนะครับ ซึ่งปัจจุบัน กลุ่ม Multistrada Club Thailand นั้นเติบโตใหญ่โตมีสมาชิกกว่า 300 คันและมีทริปเล็กทริปน้อยตลอดทุกเดือน ส่วนทริปใหญ่ประจำปี ก็จะจัดปีละ1ครั้ง เป็นการรวมตัวของคนขี่ Multistrada ทุกรุ่นจากทั่วประเทศ ซึ่งปีที่แล้วจัดเป็นครั้งที่ 5 ขี่ไปชุมพร มีรถร่วมงานกว่า 80 คัน ส่วนปีนี้ ครั้งที่ 6 จัดไปชลบุรี ผมเชื่อว่ามีรถ Multistrada รวมตัวขี่เที่ยวด้วยกัน 120 คันขึ้นไปแน่นอนครับ

5.ขาตั้งคู่ที่ให้มา ทำให้การเซอร์วิสรถ ล้างรถ ฉีดโซ่ด้วยตัวเอง เหมือนดังสวรรค์ครับ แถมเวลาเราจอดรถนาน ๆ ไม่ได้ใช้ ก็ขึ้นขาตั้งคู่ไว้เพื่อถนอมหน้ายาง ผมว่ามันดีย์มากๆครับ

ข้อเสีย

1.เป็นเรื่องที่แปลกอย่างนึงที่หลายๆคนรู้สึกเมื่อได้ลองขี่ คือ ก้านเบรคเท้ามันอยู่ลึกเข้าไปหลบใต้แคร้งเครื่องครับ มองจากด้านบนแทบไม่เห็น ดังนั้น ถ้าใครติดใช้เบรคเท้าบ่อย ๆ แรกๆอาจมีอาการวืด เบรคหายได้นะครับ

มองเห็นแป้นเบรคเท้าไหมเอ่ยยยย ?? ภาพนี้ผมไม่ได้ถ่ายจากกลางเบาะนะครับ ผมยืนถ่ายจากด้านบนตัวรถโดยถ่ายข้างๆครับ(สังเกตแนวเบาะ กับแนวพักเท้า ซึ่งจะเป็นจุดที่เราวางส้นเท้าพอดีเวลาเราจะเหยียบเบรคครับ แป้นเบรคคือตุ้มเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมาจากแคร้งเครื่องนิดๆ  นั่นละครับ พี่เจ้าของรถบอกว่าเดี๋ยวต้องหาเปลี่ยนพักเท้าครับ ไม่ไหว แกเหยียบวืดมาแล้ว

2.ขาตั้งคู่ที่ติดรถมา ไม่มีก้านช่วยดึงขึ้นครับ คือเรื่องนี้ ถ้าใครไม่เคยมีรถตัว 1200 ก็อาจจะไม่เข้าใจ แต่ผมใช้ Multistrada 1200 ปี 2013 อยู่ครับ และขาตั้งคู่เค้าจะมีก้านพับอยู่ สามารถเอามือมาช่วยพยุงและดึงรถพร้อมกับตอนเราเหยียบขาตั้ง ทำให้ตั้งรถได้ง่ายมาก ซึ่งในตัว Multistrada 950 ไม่มีครับ

ส่วนข้อเสียอื่นๆ เท่าที่ขี่มา บอกตรงๆ ยังไม่พบครับ ผมไม่ได้อวยนะครับ แต่ไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ เพราะมันก็มีแค่จุดนี้จริงๆครับ

คนที่เหมาะสมกับรถคันนี้ ผมว่าคุณควรเป็นคนที่มีทักษะในการขับขี่รถมาบ้างครับ เพราะแม้เครื่องยนต์จะไม่ปรู๊ดปร๊าดมาก แต่เรื่องทักษะในการบาลานซ์รถเป็นสิ่งสำคัญกว่า รวมถึงการเลี้ยวที่ต้องเปลียนไป เพราะท่านั่งที่เปลี่ยนไปนะครับ (ใครที่ขับแต่สปอร์ตมาตลอดอาจต้องค่อยๆปรับตัวในช่วงแรก)

รถคันนี้ ผมว่าเหมาะมาก กับคนที่รักดูคาติอยู่แล้ว และกำลังหารถทัวร์ริ่งสักคัน ผมเชื่อว่ามันจะทำให้คุณมีความสุขบน2 ล้อตลอดการเดินทางได้อย่างแน่นอน สัมภาระก็เก็บได้เต็มที่ น้ำเปล่่าก็ใส่ Top Box เอาไว้หยิบยามพักผ่อน และถ้าคุณไม่รีบที่จะถึงจุดหมายมากนัก หาเพลงมาฟังสักหน่อย คุณจะได้รับความรื่นรมย์จากการขับขี่ทางไกล จนคุณไม่ต้องเค้น หรือคอยแต่คิดในหัวว่า “เมื่อไหร่จะถึงจุดหมายสักที” เพราะประสบการณ์ระหว่างทางที่คุณจะได้รับร่วมกับมัน จะทำให้คุณเพลิดเพลินจนลืมว่าขี่มาไกลแค่ไหนแล้วเชียวละครับ

“ผมเคยมาแล้ว”

ขอบคุณพี่ดา ชลบุรี มาก ๆ นะครับ สำหรับรถที่ให้มาทดสอบขับขี่

ขอบคุณน้องไผ่ สำหรับนายแบบการวัดสัดส่วนรถครับ

สนใจเข้ากรุ๊ปไลน์ ดูคาติ มัลติสตราดา แอดไลน์ผมมาครับ diavel1200

 

ดูคาติ เค้าให้คอนเซ็ปรถคันนี้ไว้ว่า

My First. My Last. My Everything

คุณว่ามันครบถ้วนบริบูรณ์ เหมาะสมกับคำ ๆ นี้ไหมครับ? สำหรับผม ถ้าผมจะมีรถทัวร์ริ่งคันแรกสักคัน ผมว่ามันโอเคเลยครับ