ทำไมถึงต้องมีดูคาติ 5 คัน โดยไม่เคยคิดจะซื้อแบรนด์อื่น ? มาฟังจากปากเจ้าของกันครับ

หากท่านใดเคยได้มาขี่ดูคาติเข้างาน Bangkok Motorbike Festival จะเห็นนะครับ ว่าทุกๆปี จะมีรถDucati Sport 1000s สีแดงสด ขี่เข้ามาร่วมขบวนด้วยเสมอ ๆ กับมุมมองการเลือกใช้รถดูคาติ และความรักในแบรนด์นี้จนทำให้มีดูคาติ รุ่นสวยๆถึง 5 คันโดยยังไม่เคยซื้อมอเตอร์ไซค์ยี่ห้ออื่นเลยของ คุณสุรชัย สุวรรณะชฎ ตำแหน่ง Manager Director บริษัท SUWARA EXPORT CO.,LTD หรือพี่บอยที่ใคร ๆ หลายคนเรียกกัน และมุมมองในฐานะคนทำงานในวงการแฟชั่นเสื้อผ้าที่สามารถใส่ให้เข้ากับการขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ บทสัมภาษณ์ในวันนี้จึงมีทั้งประโยชน์และได้แนวคิดใหม่ๆ อีกมากมาย ลองติดตามกันดูนะครับ

ทำไมถึงเลือกที่จะขี่ดูคาติครับ

ครั้งแรกก็คือ ย้อนไปประมาณ 7-8 ปี ที่ยังไม่ค่อยมีบิ๊กไบค์เท่าไหร่ เรารู้จักแต่ฮาเล่ย์ เราไม่ได้รู้จักดูคาติ แต่มีอยู่วันนึงที่เราขับรถอยู่แล้วเรามองไปที่กระจกหลัง เราเห็นบิ๊กไบค์อยู่คันนึงซึ่งดูจากกระจกหลังเห็นท่านั่งขี่แล้วสวยงาม มันโดนใจและเท่ห์มาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยคิดจะขี่เลย

 

 

ในความอยากได้นั้น เราได้แต่ถามตัวเองว่าแล้วเราจะขี่ได้ไหม แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรเราขี่จักรยาน ก็เลยซื้อมาเลย 1 คัน กับคันแรก นั่นก็คือ Ducati Monster 696 ซื้อตัวนำเข้าจากอิตาลี ตอนได้มาเราก็ขึ้นขี่เลย  ชอบทุกอย่าง มีความดุดัน เร่งแล้วเหมือนม้า ความรู้สึกแรกที่เราสัมผัสมัน เรารู้สึกเลยว่า “รถอะไรวะ ทำไมควบคุมยาก” มันได้ความมันส์ เริ่มขับอาทิตย์ละครั้ง โดยไม่ได้มองรุ่นอื่นเลย

 

 

พอเราขี่ไปสักพัก มันเริ่มสนุกมาก และเราก็เริ่มเข้ากลุ่มคลับดูคาติ เพื่อไปเจอเพื่อน ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าสังคม ซึ่งพี่เองอาจจะยังไม่ซึมซับตรงนั้นมาก เพราะเรามีงานต้องทำเยอะไม่ค่อยมีเวลาได้ไปเจอเพื่อน แต่สำหรับรถดูคาตินั้นถึงจะไม่ได้ขับ แค่มีไว้ดูก็มีความสุขแล้ว   นั่นคือจุดแรกของการเริ่มต้นขับขี่ดูคาติ

แต่การออกขี่ ก็มีบางครั้งที่รู้สึกว่าเราอายุมากไปมั้ย ทำไมเราขี่ตามกลุ่มไม่ทัน หรือน้องๆ วัยรุ่นเกินไปเลยขับกันเร็ว ไม่รอลุงเลย (ฮา) ก็เลยรู้สึกว่า หรือเราต้องขับคนเดียว แต่หลังๆก็จะใช้วิธีการเลือกกลุ่มขับขี่เอาที่ใกล้เคียงกับสไตล์ของตัวเองดีกว่า

หลังจากนั้นมาอีกสักพักนึง เราก็ได้เจอกับรักครั้งแรก อีกครั้งนึง นั่นคือ เราได้เห็น Ducati Sport1000 S สีแดง ปี 2007 คือตอนนั้นเราเห็นในโชว์รูมรถโดยที่เราไม่รู้ว่ามันคือรถยี่ห้ออะไร  แต่เมื่อได้เข้าไปดูตัวรถ เห็นช่วงตูดมดแล้วสวยมาก โดนทั้งคัน เลยตกลงราคา แล้วก็ซื้อมาเลย คือ  คันนี้ผมใช้บ่อยมาก ขี่ง่ายมาก เข้าโค้งง่าย และสวยมากด้วย

 

 

คันถัดมาที่เจอคือ MH900 E ที่ผลิตออกมาแค่ 2,000 คันในโลกพอดีเราเริ่มชอบรถแนววินเทจ แล้วพอดีเปิดเว็บไปเจอคนขายพอดี ก็เลยตกลงซื้อเลย สำหรับรถคันนี้นั้น เราเห็นรูปลักษณ์ที่เป็นแนวคลาสสิคจริงๆ พอได้รถมา เราตอบสนองความอยากได้ของเราแล้ว และก็มีเพื่อนใหม่ๆ ที่อยู่ในกลุ่มคลาสสิค ที่เค้าสามารถซ่อม และมีอุปกรณ์ อะไหล่พร้อม  เราก็เริ่มสบายใจขึ้น เพราะรถพวกนี้หาอะไหล่ยากมาก

 

สำหรับเรื่องการขับขี่นั้น  ขี่ยากมาก  ยากมากจริงๆ เช่น กระจกข้าง แม้จะมี แต่ขี่ในชีวิตประจำวันมองปกติไม่เห็น ต้องก้มคางติดกับถังถึงจะมองเห็นกระจก ดังนั้นเวลาขับต้องใช้เหลียวมองเอา  เวลาเลี้ยว วงเลี้ยวกว้างมาก และเป็นครัชแห้ง ถ้าจังหวะการปล่อยครัชไม่สัมพันธกับคันเร่ง มันจะดีดมากและมีสิทธิล้ม

รถคันนี้มันเป็นรถที่จอดแล้วสวย น่าสะสมมาก ราคาไม่ตก ขี่ไปไหนก็หล่อตลอด คันนี้เป็นคันที่ขี่น้อยสุด เพราะเรากลัวมันจะมีอะไรเสียด้วย

คันถัดมา คือ Ducati Diavel Diesel ในไทยมีแค่ 4 คัน จริง ๆ รถรุ่นนี้อยากได้มานานแล้ว เพราะรถมันทรงครุยเซอร์ ขี่ง่าย ดีไซน์ดุดันมาก ถังน้ำมันแต่ละคันไม่เหมือนกันเพราะทำแฮนเมดทุกชิ้น สำหรับ Diavel Diesel มันดิบมาก มีความแตกต่างในแต่ละคัน ขับง่ายกระโดดขึ้นขับได้เลย ตอนนี้ใช้บ่อยสุด

 

 

ส่วนคันสุดท้ายที่พึ่งได้มา คือ Ducati GT 1000 ปีประมาณ 2008 สำหรับตัวนี้ การนั่งสบายมาก ท่านั่งสบายมาก เพราะเป็นทรงทัวริ่งพร้อมกระเป๋าเรียบร้อย ถือเป็นตัวสะสมอีกคันนึง

 

 

สำหรับคันที่ชอบที่สุด ยังคงเป็น Ducati Sport1000 S เพราะมันเหมือนเป็นรักครั้งแรก ที่เจอแล้วต้องซื้อเลย ราคาเท่าไหร่ไม่สำคัญ รถดีจริง ใหม่มากไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย

 

มาที่เรื่องของการขับขี่ พี่บอย ชอบขี่เดี่ยวหรือ ขี่กลุ่ม และเพราะอะไร 

ขี่กลุ่มมันได้ความสนุกสนานเฮฮาไปร่วมกัน แต่ในความขี่เป็นกลุ่มนั้น ทุกคนมีทักษะการขับขี่ที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น แต่ละกลุ่มจึงควรต้องมีการตกลงในเรื่องกติกาการขับขี่ร่วมกัน และแบคกราวแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีลูก บางคนมีครอบครัวต้องดูแล บางคนมีีบริษัทและพนักงานที่ต้องดูแล บางคนอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นการขับขี่จะเร็วหรือช้า หรือตัดสินใจอะไรเค้าย่อมต้องมีความรู้สึกที่ว่าเค้าต้องไม่ทำให้คนข้างหลังเดือดร้อน ซึ่งเรื่องพวกนี้บางคนที่เป็นเด็กวัยรุ่นอาจยังไม่ได้คิด มันจะทำให้การขับกลุ่มนี่ล่ะมีปัญหา  ซึ่งคนที่คุมกลุ่มจะต้องเปิดกว้าง เข้าใจ และไม่สร้างความกดดันให้กับคนในกลุ่ม ไปด้วยกัน กลับด้วยกัน ความสนุกมี ทุกอย่างมี

ซึ่งสำหรับผม บางทีก็ไปกลุ่มเล็กบ้าง ความไปกับกลุ่มย่อยมันดีตรงความคล่องตัว ไม่กดดัน อยากแวะพักตรงไหนเราตัดสินใจได้เลยไม่ต้องประชุมเยอะมาก เลยแต่ละทริปที่ออกขับขี่ก็จะมีแบบกลุ่มใหญ่บ้าง กลุ่มเล็กบ้าง ให้ชีวิตมันมีสีสรร

ในการใช้ชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าเราไปอิงทางใดทางหนึ่งเกินไปมันจะตึงเครียดเกิน ไปเดี่ยวบ้าง ไปกลุ่มบ้างร่างกาย ความคิดจะได้ความรีแล็กมากกว่า

คือถ้าขับเดี่ยว ผมจะไม่เสี่ยง ไม่วัดกับใครเลย ออกให้เช้าหน่อยสบายๆ ไม่ขี่เร่งจนเกินไป เพราะรถแต่ละคัน ถ้าชนไปหรือมีเกี่ยวกันผมเสียดายอะไหล่ ขอขี่หล่อ ๆ ดีกว่า

 

 

ในฐานะที่พี่บอยทำงานอยู่ในวงการออกแบบเสื้อผ้าซึ่งสามารถปรับใช้กับการขี่มอเตอร์ไซค์ได้ อยากทราบมุมมองการขับขี่แนววินเทจกับการแต่งตัวให้เข้ากับมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบันที่กระแสกำลังมาแรงมากขึ้นนั้น พี่บอยเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ

สำหรับผม การแต่งตัวตามมุมมองที่เคยคิดก่อนหน้านี้ ผมมองภาพว่าการขี่บิ๊กไบค์ต้องใส่เสื้อหนัง การ์ดเต็ม รองเท้าเต็มหมด จ่ายไปสักเจ็ดหมื่นบาท  สุดท้าย ขี่ในเมืองไปห้างสรรพสินค้า ถอดเสื้อหนังออกมา เหงื่อท่วมตัว แล้วแบกเสื้อหนังหนังๆ  เข้าห้างไป เริ่มคิดว่า “เฮ้ย มันใช่เหรอวะ”  คือ เราก็มานั่งวิเคราะห์ว่า บิ๊กไบค์นั้นถ้าเราขับ 60 หรือ 80 ในเมืองอาจไม่ต้องแต่งเต็มขนาดนั้น ผมก็เปลี่ยนใส่แค่กางเกงยีนส์มีการ์ด แต่งตัวให้มันสปอร์ทมากขึ้น ผมอยากขี่บิ๊กไบค์ไปจอดที่ห้างแล้วเดินสบายตัว ไม่เหนื่อยมาก ซึ่งผมออกแบบตัดเย็บให้แบรนด์ VonDutch ผมเลยนำเสื้อผ้าที่ทำมาปรับใช้กับการแต่งตัวของตัวเอง โดยผมจะใส่ชุดให้เข้ากับเรื่องราว กับรถที่เราจะใช้

ดังนั้น การแต่งตัว กับรถ มันเป็นเรื่องเดียวกัน มันจะทำให้เราไม่จำเจ มันเป็นความสนุก ความสวยงาม เราต้องการเวลาที่มีคนถ่ายรูปเราออกมาแล้วเราได้ภาพสวย ๆ  สำหรับผม การขับดูคาติ จะทำอย่างไร ให้เราดูโดดเด่น มันเป็นแฟชั่น ซึ่งมัันแตกต่างจากค่ายอื่น ถ้าเราขับรถไปแล้วเจอคนขี่รองเท้าแตะขี่ดูคาติ มอนสเตอร์ เราควรต้องให้เกียรติรถ เราควรทำตัวให้ดูดีกับรถให้มันดูมีราคาด้วย  ผมไม่ได้แอนตี้ เค้าอาจจะแค่มาซื้อของในตลาดก็ได้ แต่อย่างน้อย กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบก็จะเซฟตี้กว่ามาก

 

“ถ้าการแต่งตัว มันไปกับรถเมื่อไหร่  มันจะมีความสวยงาม และมันจะย้อนกลับมาที่แบรนด์อีกที ว่าทำไมถึงขับแล้วดูดีตลอด”  ผมจะเลือกก่อนว่าวันนี้ธีมอะไร จะเอารถคันไหนออก หมวกคันไหน เสื้ออะไร กางเกงอะไร แว่นอะไร จะเป็นสน็อคเกิ้ลไหม มันเป็นความผูกพันธ์กับรถ เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

โดยผมก็มีไอเดียที่จะจัดหาเสื้อผ้าที่ตอบสนองกับการขับขี่ เพื่อเสนอให้ทุกคนได้มีสีสรรในการขับรถ กับแฟชั่นการแต่งตัว คืือ ผมรู้สึกว่ามันสนุก และภาพรวมของการขับขี่มันสมบูรณ์ ผมก็อยากให้ทุกคนได้รู้สึกแบบนั้นด้วย  บางคนถามว่า “ทำไมพี่บอยพร้อพเยอะจังวะ”  แต่เวลาถ่ายรูปออกมาผมว่า ผมโอเคมาก มันดูดี เพราะผมเต็มที่กับมันแล้ว เอาให้สุดไปเลย ทำไปเลย

 

 

ฝากอะไรสักนิดถึงคนที่คิดจะเข้ามาขี่ดูคาติครับ

 

สำหรับคนที่เงินพร้อมอยู่แล้ว และสนใจดูคาติ ควรจะเตรียมร่างกาย เลือกรถที่ชอบ  ต้องลองรถ รูปร่างสรีระของเราเองก็มีส่วนในการตัดสินใจเลือกซื้อด้วย อย่าฝืนธรรมชาติจนเกินไป ถ้ารู้สึกว่าใช่ก็ซื้อไปเลย ถ้ามีตังค์ที่จะซื้อ แล้วเราดูแล เราจะไม่เสียค่าซ่อมบำรุงเยอะ  ถ้าเราดูแลรถเป็น แทบจะไม่เสียตังค์ด้วยซ้ำ

เราซื้อรถ เราต้องรู้การดูแลรถเบื้องต้น อาจถามจากเพื่อนๆในกลุ่ม มีคนช่วยให้คำปรึกษาได้  เมื่อเราชอบจริง พอซื้อมาแล้วเราก็ต้องเรียนรู้การขับขี่ ควรลงคอร์สขับขี่ปลอดภัย รู้จักขี่แบบประมาณตน ขับในสภาวะที่ปลอดภัยที่สุด อย่าใช้อารมณ์ในการขับ ไม่ใช่ว่าเพื่อนขี่เร็ว เราไปเค้นขี่เร็วตาม ต้องตัดสินใจให้ดีเพราะชีิวิตเป็นของเราเอง

สำหรับคนที่เงินยังไม่พร้อม ระหว่างเก็บตังค์ก็ศึกษาข้อมูลและควรเผื่อค่าซ่อมบำรุงไว้บ้างถ้าซื้อมือสองมา อาจจะเข้าไปลองเทสรถที่ศูนย์ดูคาติดู ลองไปลงเรียนดูก่อนได้เพราะเค้ามีรถให้เช่า เมื่อพร้อมแล้วเราก็ซื้อ มันเหมือนเป็นรางวัลชีวิต ที่เราทำได้จริง และขี่ด้วยความมั่นใจ

ความสุขมันคือการได้อยู่กับรถที่เรารัก อยู่กับเพื่อน สุดท้ายได้รถมาเราก็พร้อมดูแลรถได้ทันที คือ สามารถเสพความสุขได้แม้ยังไม่มีรถก็ตาม เพราะศูนย์เองเค้าก็เปิดรับลูกค้าใหม่ เข้าไปปรึกษาขอข้อมูลก่อนได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปซื้อเลยซึ่งมันเป็นอะไรที่เปิดกว้างมากขึ้น

เราได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ทั้งที่เคยรู้จัก และไม่รู้จัก เรามาพบเจอกัน สนุกด้วยกัน จบมิตติ้งก็แยกย้ายกันกลับ ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ต้องทำกันไป  พอถึงเวลาวันไหนวันนึงเราว่างเราก็นัดมิตติ้งกันอีก โดยไม่ต้องรู้ว่าแต่ละคนทำงานอะไรยิ่งใหญ่แค่ไหน มันไม่จำเป็น เราแค่รักในเรื่องเดียวกัน ช่วยเหลือกันในกลุ่ม มีปัญหาอะไรก็ช่วยเหลือกัน มันเป็นส่วนนึงที่ทำให้ผมมีความสุขกับตรงนี้มากครับ

นี่เป็นอีกบทสัมภาษณ์นึง จากใจคนที่มีความหลงใหลและความรักในแบรนด์ดูคาติครับ จากที่ผมได้สัมผัสพูดคุยกับพี่บอยจะพบได้ว่า แม้รถดูคาติอาจไม่ใช่รถที่ขี่ง่ายที่สุด แต่คนขี่ก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับรถได้ถ้าเรายอมรับในจุดด้อยของมัน และเมื่อไหร่ที่เราก้าวข้ามความคิดเหล่านั้นไปแล้ว สิ่งที่เราจะได้หลังจากนั้นคือ “การเสพความสุขจากสิ่งที่เรารัก” ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสำหรับดูคาตินั้น แค่ได้จอดรถรุ่นสวยๆไว้ในบ้าน เอาไว้ขี่ไปมิตติ้งกับเพื่อนแค่เดือนละครั้ง มันก็สุขสุดๆและคุ้มค่าแล้วครับ สำหรับการที่เราจะเลือกเป็นเจ้าของรถคันใดสักคันนึง

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ

Golfy

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *