ท่านั่ง มุมมอง เทคโนโลยี และฟิลลิ่งการขับขี่วันที่ไปรับรถ รถที่ผมได้มาทดสอบเป็นตัว ICON ถือเป็นตัวพื้นฐานสุดของ Scrambler ความรู้สึกแรกตอนก้าวขาขึ้นคร่อม รู้สึก....ปลอดภัย! ไม่ต้องกังวลว่าปลายเท้าจะไปป้ายเอาครอบเบาะเป็นรอยหรือจะหวดจรเข้ฝาดหางใส่ไฟเลี้ยวเพราะตัวรถเองท้ายยกไม่สูง ตัวรถไม่เตี้ยไป หรือสูงไป (ผมสูง 175 ซม.) วางฝ่าเท้าได้เต็มสองเท้า เบาะนุ่มกำลังดีไม่รู้สึกยวบยาบ ขี่ทางไกลสบายเพราะเข่างอเพียงเล็กน้อย และนี่คือมุมมอง 360 องศา
ด้านหลังมีที่จับคนซ้อนแต่ตำแหน่งการจับไม่ได้ร่นไปด้านหลัง แต่อยู่ขนานลำตัวทำให้ไม่ได้ช่วยรั้งตัวคนซ้อนแต่อย่างใด
พอวางมือลง เฮ้ย ทำไมแฮนด์สูงจัง กว้างด้วย ก็เข้าใจนะว่าติดดีเอ็นเอรถวิบากมาแต่มันสูงไปป่ะ? มุมมองด้านหน้าคนขี่โล่ง โปร่ง
ไม่คิดมาก ใส่หมวกเสร็จโบกมือลาทีมงาน Ducati ผมเลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิภาวดีแล้ว พยายามพาตัวรถมุดเข้าสู่ “การจราจรติดขัด” ทันที ผมเคยบอกคุณก้องของทาง Ducati แล้วว่าผมทำรีวิวแบบใช้ในเมืองนะครับเพราะผมเชื่อว่า 80-90% ของคนซื้อ Scrambler ใช้รถคันนี้ในเมืองแน่นอน
บิดคันเร่งออกไป รถให้แรงดึงสะใจเช่นเดิมตามสไตล์เครื่อง L-Twin (วางลูกสูบเป็นลักษณะตัว L) แม้ว่าทาง Ducati จะบอกผมมาว่า “รถไม่แรงนะครับ ถึงจะ 800 ซีซี แต่มีการตัดทอนกำลังออก 10% เพื่อให้ขี่ง่ายขึ้น” แต่เชื่อผมเปิดคันเร่งแรงมีหน้าลอยได้เหมือนกัน
ตบเกียร์สอง เกียร์สาม รถให้แรงดึงต่อเนื่อง มีกำลัง แต่สิ่งที่ต่างไปของ Scrambler คือ “เสียงเกียร์” ปกติใครเคยขี่ Ducati จะชอบมีคำถามมาถามว่า เกียร์รถผมมีปัญหาไหมอ่ะ ผมเข้าเกียร์แล้วมันมี ปึ๊ก ปัก เสียงดังอย่างกับมีอะไรหลุด อะไรหัก ถามว่า Scrambler มีไหม คำตอบคือมีครับ แต่น้อย น้อยมาก น้อยลงเยอะ เกียร์เข้าง่ายกว่า และช่วงต่อไหลลื่นกว่า 795/796 มากทีเดียว
ข้างหน้าเจอรถติด ปล่อยคันเร่ง เอ็นจิ้นเบรคยังคงมีน้ำมีเนื้อ ทำงานดีดังที่เคยเป็นมาในรถหลายรุ่นของ Ducati โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยใช้เบรคเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็นเพราะถ้าเราใช้เกียร์และรอบเครื่องเหมาะสมเอ็นจิ้นเบรคของรถสูบ L จะดึงความเร็วของรถให้ชะลอได้ง่ายมากครับ
ถึงเวลามุดตัวผ่านรถติดของถนนวิภาวดี กระจกมองข้างขนาดเท่าใบลานทำหน้าที่สะท้อนวัตถุที่ตามหลังมาได้เป็นอย่างดี มองเห็นชัดเจน และสั่นน้อยกว่า 795/796 เยอะเลย จะติดก็ตรงที่ว่าความยาวของมันเลยแฮนด์ออกมาทำให้เวลาขี่ต้องคอยระวังไม่ให้ใบลานไปตบกระจกมองข้างรถเก๋งของเพื่อนร่วมท้องถนน
เครื่องที่ทาง Ducati ปรับจูนมาใหม่บวกกับสเตอร์หลังขนาด 46 ฟันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เลิศล้ำ เกินพรรณนาสำหรับคนที่ขี่รถในเมืองที่รถติดมากมาก ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะ! ถ้าขี่รถ Ducati มุดเวลารถติด สิ่งที่คนทั่วไปบ่นคือ.....เมื่อยจัง กำคลัทช์ เลี้ยงคลัทช์ ทำไมรอบต่ำมันกระตุกจังวะ เครื่องจะดับไหมเนี่ย ขี่ไม่สนุกเลย ใช่ป่ะ ใช่ป่ะ บ่นมะ บ่นนนนน บ่นกันหมดตอนได้รถมาแล้วยังไม่เข้าใจลักษณะของเครื่องยนต์ L-Twin ของค่ายปิ๊กกีต้าร์ แต่เชื่อผมเหอะ “คันนี้แทบไม่เป็น” ยังไม่ลื่นเท่าสี่สูบแต่มันก็เนียนที่สุดเท่าที่เคยขี่มาเลย เกียร์หนึ่งไหลลื่น วิ่งฉิวผ่านช่องระหว่างรถได้แบบไม่มีกระตุกให้ลุ้น บีบคลัทช์อีกทีนู่นเลยตอนกำเบรคจอดรถเข้าเกียร์ว่าง โอ้ พระเจ้าจอร์จ จอดรถไฟแดงแรกแทบจะยกมือขึ้นอธิฐานหลังจากนี้ไปผลิตรถออกมาให้ขอเชื่องเป็นพุดเดิ้ลแบบนี้ทุกคันเลยได้ไหม!
ไฟเขียว เลี้ยวขวาเข้าอนุสารีย์ชัย รถติดสุดสุด ข้อเสียของแฮนด์ที่กว้างมากทำให้เวลามุดในช่วงที่รถติดนิ่งสนิทเป็นสิ่งที่ต้องกะดีดี ต้องคำนวนวงเลี้ยวกันล่วงหน้านิดหน่อย และเวลาเลี้ยวจนสุด มันสุดแขนเลยจริง ๆ จนตัวต้องโน้มไปข้างหน้า นับเป็นข้อเสียอีกข้อสำหรับคนที่ช่วงแขนสั้น
ถามว่าร้อนไหมเวลารถติด ตอบว่าร้อนครับ แต่คันนี้มาค่อนข้างแปลก รถขยับเพียงนิดเดียวหายร้อนทันที แม้ว่าจะแค่ขยับแบบกระดิกนิดเดียว ประมาณว่าความเร็ว 10 กม./ชม. หน้าแข้งหายร้อนเลย ไม่มีอารมณ์มาแสบขาตลอดเวลาที่ขี่เหมือนรุ่นพี่ ดีจุงเบยย
ผมตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีอยุธยา วิ่งเส้นใต้ทางด่วนเพื่อหาที่ว่างทำความเร็วนิดหน่อยเพื่อทดสอบระบบขับขี่ ต้องออกตัวก่อนเลยว่าตอนเห็น Scrambler ครั้งแรกรู้สึกหงุดหงิดมากกับ “จานเบรคข้างเดียว และปั้มเบรคตัวเดียว” ที่ติดรถมา ก็พอเข้าใจกับความแนวที่ Ducati พยายามทำให้รถคันนี้เป็นแต่เรื่องเบรคมันดูไม่ค่อยน่าแนวไหมครับ และก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ รถคันนี้เบรคได้ แต่ไม่กริ๊บ หมายความว่าถ้าขี่มาแล้วบีบเบรคหน้า รถจะไม่มีอาการ “จิก” ให้เห็นเหมือนรุ่นอื่นที่เป็นจานคู่ จะแค่ชะลอรถลง แต่ว่า Ducati เองทดแทนความแนวด้วยการใส่ระบบ ABS มาให้ซึ่งผมว่าใช้ได้เลยแหละ ไว้ใจได้ สามารถทดสอบได้เลยโดยการขี่ขี่อยู่แล้ว “กำเบรคสุดแรง” กล้ากล้ากำไปเลย หน้าไม่จิกก็จริงแต่ระยะเบรคไม่ยาวอย่างที่คิด เอาเป็นว่าคะแนนไม่เต็ม แต่ผ่านครับ รับได้
ช่วงล่างทำมาค่อนข้างนุ่มเหมาะกับการใช้งานในเมือง ขี่เร็วกำเบรคยวบไปนิดนึง แต่ไม่นิ่มจนน่าเกลียด ข้อดีคือเวลาเจอทางขรุขระ ผมนี่ลุกขึ้นไม่คิดจะเบรคเลย จากต้องเบรคตัวโก่ง อันนี้จะมีอารมณ์อยากพุ่งเข้าใส่ ทั้งยาง ทั้งช่วงล่างออกแบบมาให้คุณอยากเอามันไปวิ่งบนทางที่ไม่ค่อยเรียบ สนุกดีครับ
กลับมาที่ถนนศรีอยุธยา ตัดสินใจขึ้นสะพานข้ามแยกเพราะรถติดเหลือเกิน เปิดคันเร่งอีกครั้ง รถพุ่งออกไปอย่างเร็ว ลงสะพานมา วิ่งเลนขวาด้วย ไอ้ย่ะ!!! คุณตำรวจโบกมือรออยู่ตีนสะพานแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่เห็นทาง Ducati ออกมาป่าวประกาศแต่ค้นพบได้หลังจากการทดลองขี่คือเรื่องของ สลิปเปอร์คลัทช์ ถ้าจะคุยลงลึกมันจะยาวมาก เอาเป็นว่าสรุปสั้น ๆ ให้เข้าใจได้คือ “รถคันนี้ถอยเกียร์ลงได้เนียนมาก” หมายความว่าถ้าคุณวิ่งมาที่เกียร์สามแล้วต้องการเบรคกระทันหันแล้วใช้การลดเกียร์ช่วยให้รถหยุดเร็วขึ้น คุณสามารถกำเบรคแล้วตบเกียร์ลงได้เลยโดยไม่ต้องกลัวล้อหลังจะปัดจนรถเสียการควบคุม เจ๋งป่ะล่ะ เจ๋งสิ ผมหยุดทันคุณตำรวจโบกด้วย ล้อหลังไม่ไถลสักนิด ค่าเรียนรู้และทดสอบสลิปเปอร์คลัทช์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน 200 บาทครับ
คุณตำรวจเดินเข้ามาหลายคน ถามว่ารถอะไรไม่เคยเห็น ระหว่างอธิบาย (ว่าผมผิดแต่อย่าจับผมเลยยย) เรื่องตัวรถ ผมถึงเข้าใจว่าจริงจริงแล้วรถคันนี้ลูกเล่นเหมือนกันกับ Ducati Monster 796 อย่างกับแกะ บนเรือนไมล์ลูกเล่นทุกอย่างเหมือนกันหมดแกะกันมาเลย ต่างกันก็แค่รูปแบบของหน้าจอและวิธีนำเสนอเท่านั้น และก็....ยังมีสิ่งที่เหมือนกันอีกอย่าง และเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจมาจนถึงวันนี้ ไอ้ที่วัดระดับน้ำมันที่เหลือในถัง มันทำยากมากนักเหรอครับ จะกี่ปีก็ไม่ทำ ยังไงก็ไม่ยอมทำ รถราคาเป็นแสนบอกระดับน้ำมันไม่ได้ แค่ขึ้นเป็นไฟเตือนเนี่ย ออกทริปกันเคยเกือบหาปั้มน้ำมันไม่ได้ในรัศมี 30 กม. มาแล้วนะครับ
จ่ายค่าปรับเสร็จ ลาคุณตำรวจ ทีนี้พลิ้วเลย (กระเป๋าแห้ง) จึงทำให้รู้ว่าเหตุผลที่ Ducati ทำแฮนด์ของรถมาค่อนข้างสูง เพื่อต้องการคงคอนเซ็ปรถขี่สนุกของ Scrambler ไว้เพราะการโยกรถและถ่ายน้ำหนักนั้นสามารถทำได้โดยง่าย พลิกรถได้ง่ายกว่าปกติ ขี่สนุก ยืนขี่ก็ได้ ยืนเลี้ยวก็ทำได้ (ถ้าแฮนด์ต่ำหมดสิทธิ์สนุก) ขี่แล้วจิ๊กโก๋มาก ๆ ครับ
กลับมาถึงบ้าน ลงจากรถ เอ๊ อะไรมันห้อย ๆ หว่า ก้มลงไปดูพบสายไฟเส้นนี้หลุดออกมา ผมไม่รู้คันอื่นเป็นไหม เรื่องปกติหรือไม่ปกติ แต่ที่แน่แน่ผมไม่ได้เลือกรถคันนี้เองด้วยสิ ก่อนส่งรถให้ผม ตรวจเช็คหรือเปล่า? ใครออกรถไปแล้วสังเกตุกันดูนะครับ
โดยสรุปข้อดีของ Scrambler ICON
- เครื่องยนต์อัตราเร่งดี ขับสนุก แรงเหลือเฟือในเมือง อัตราเร่ง 0-130 ไม่ใช่ปัญหาของรถคันนี้
- ยกขึ้นไว้บนหิ้งสูงสูงเลยสำหรับทำเนียบรถ Ducati ขี่ไม่กระตุก
- เกียร์ลื่นไหล เข้าง่าย เปลี่ยนเกียร์สนุก
- มีสลิปเปอร์คลัทช์ดีดีแถมมาให้โดยไม่โฆษณาด้วย
- เรือนไมล์สวยงามดูทันสมัย
- ท่านั่งชิลด์ ยืนขี่ก็ได้ พลิกซ้ายขวาก็ง่าย (ถ้าไม่เปลี่ยนแฮนด์)
- เจอหลุม เจอบ่อ แปลว่าไฟเขียวให้พุ่งเข้าใส่
- มีช่องเสียบ USB สามารถชาจโทรศัพท์ได้
ข้อเสียของ Scrambler ICON
- คนช่วงแขนสั้นขี่ลำบาก เลี้ยวเอื้อมกันสุดแขนไปเลย
- กระจกมองข้างใหญ่ไปหน่อย
- มือจับคนซ้อนมีให้แต่ใช้ไม่ได้จริง
- ไม่มีเกจวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิง (ทำสักทีเถอะ)
- มีจานเบรคเดียว ปั้มเบรคตัวเดียว เบรคหน้าไม่จิกเท่าที่ควร
- คุณภาพงานประกอบ อะไรกันวิ่ง ๆ อยู่มีสายไฟหลุดออกมา
- ค่า excess ประกัน 30,000 บาทต่อ 1 ล้มแล้วนะครับ
- อะไหล่ และค่าแรงศูนย์ยังคงมีราคาสูง (ถ้าไม่มีโปรโมชั่น)
แล้วรถคันนี้เหมาะกับใครถ้าหากคุณกำลังมองหารถที่ขี่ง่าย ใช้งานได้ทุกวัน ขี่ไปซื้อส้มตำ ไปเซเว่นได้เหมือนรถทั่วไป หรือในขณะเดียวกันก็สามารถเอาไปใช้ซิ่งเล่นในวันหยุดได้สบาย ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณเบื่อกับรถที่ใหญ่มาก ๆ ร้อนมาก ๆ หรือมีรถเทพอยู่แล้ว อยู่ในเมืองเบื่อรถติด แรงไปก็เท่านั้นต้องการไว้ใช้งานสบาย ๆ ดูชิล ๆ แต่ในขณะเดียวกันหากเจอรถเล็กเพี้ยน ๆ มาเบิ้ลคันเร่งข้าง ๆ คุณก็สามารถทิ้งฝุ่นไว้ให้เค้าดูต่างหน้าได้ไม่ยาก ถ้าที่ผมพล่ามมาตอบโจทย์ คุณต้องไปลองขี่ Scrambler
ส่วนตัวแล้วผมว่า Ducati สอบผ่านในเรื่องการทำรถระดับ เริ่มต้น หรือ New Entry ให้กับกลุ่มคนหรือลูกค้าที่ไม่เคยได้ลองรถของทางค่าย เท่ากับว่า Ducati มีรถระดับ “เริ่มต้น” ที่ขี่ง่ายอยู่ถึงสองคัน คือ Scrambler และ Monster โดยที่สองคันนี้เป็นรถที่มีบุคคลิกคนละแบบกันโดยสิ้นเชิง
รุ่นไหนดีล่ะทีนี้ (ราคา ณ เมษายน 2015)
ICON: สีแดงอยู่ที่ 369,900 บาท ส่วนสีเหลือง 374,900 บาท
Classic: ราคา 419,900 บาท
ERBAN Enduro: ราคา 419,900 บาท
Full Throttle: ราคา 419,900 บาท
ให้ไปเดินมองตัวจริงก่อนตัดสินใจ แนะจุดที่แตกต่างที่เห็นได้ง่ายมีดังนี้
- ICON ต่างกันแค่สีแดง สีเหลือง
- Classic สีรถทำย้อนยุคเหมือนครั้งคุณตาคุณยายยังวัยรุ่น ล้อเป็นซี่ลวดและเบาะหนังสีน้ำตาล คล้ายรถสมัยปี 1968 มาก
- ERBAN Enduro เป็นรถที่เข้าแนว Scrambler มากที่สุด หมายความว่าเป็นรถคลาสสิคแนวกึ่งวิบาก โคมไฟหน้าเป็นตะแกรง ขาดเพียงแค่ท่อออกข้างทรงสูงเท่านั้น
- Full Throttle คล้ายกับ ICON จะต่างที่ได้เบาะลายออกสปอร์ต แฮนด์ทรงต่ำ และท่อเสียแต่งมาให้เลย
ถ้ารู้สึกว่าเราเป็นคนแนวมาก ชอบแต่งตัวเซอ ๆ ฟังเพลง The Beatles แล้วอยากย้อนยุคกลับไปได้ รุ่น Classic กับ Enduro จะเหมาะกับคุณมาก เพราะ Ducati คัสตอม “ความแนว” มาให้คุณแล้ว (บางรายการ) กับราคาที่แพงขึ้น 50,000 บาท
ถ้าไม่ชอบแฮนด์ทรงสูง (ซึ่งมันขี่สนุกนะ) และอยากได้รถที่ดูสปอร์ต หรือรัก Termignoni เป็นชีวิตจิตใจให้เลือก Full Throttle
แต่ถ้าคุณไม่ได้ชอบล้อซี่ลวดขนาดนั้น หรือ เบาะลายแปลก ๆ ที่แถมมาให้ก็เฉย ๆ ไม่ได้ถูกใจอะไร ส่วนต่าง 50,000 บาทคิดว่าเอาไปแต่งอย่างอื่นได้ตรึมก็เลือก ICON จะแดงหรือว่าเหลืองต่างกันอยู่ 5,000 บาท
ไม่ว่าจะตัวเลือกไหนจำไว้ว่าเครื่องยนต์แรงเท่ากันทุกประการ และมันเป็นรถจิ๊กโก๋ที่ขี่ได้สนุกที่สุดรุ่นนึงในเวลานี้
ขอขอบคุณ
คุณทราย, Public Relation, Ducati Thailand
คุณก้อง, Sales and Marketing Director, Ducati Thailand
เอื้อเฟื้อรถทดลองขี่
ผู้เขียน หมู G-FORCE
สงวนลิขสิทธิ์ ข้อความ เนื้อหา ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไม่ว่าภาพ หรือบทความ ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน
www.ducatibikersthailand.com
26 เมษายน 2015
Copyright (c) 2015 all texts and pictures/photos
-----------------------------------------------------------------------------------
บทความนี้จะไปอยู่ในเว๊บไซต์ของ G-FORCE ในอนาคตที่
www.gforcethailand.comแสดงความคิดเห็น ติชม ตอนนี้ทำได้ที่
www.facebook.com/GForcethailand