การขับขี่จริงช่วงรถติด/ช่วงถนนโล่งสำหรับรีวิวเรื่องการขับขี่นั้น ต้องขออนุญาตแจ้งก่อนครับ ว่าผมไม่ได้เอารถไปกระโดดลุยข้ามห้วย เข้าป่าลึก รึจมบ่อโคลนครับ เพราะเส้นทางที่ขี่คราวนี้เป็นการเซอร์เวย์ทริป แต่อยากจะบอกว่าที่ผมทดสอบรถมาก็เพียงพอกับการใช้งานประจำของรถคันนี้ที่ใครหลายๆคนก็คงใช้งานพอๆกับเส้นทางที่ผมได้ขี่ไปครบเท่าๆกันครับ นั่นคือ รถติดในเมือง ทางถนนโล่งตามต่างจังหวัด และทางสายฝุ่นในที่ ๆ ถนนดำเข้าไปไม่ถึง
การขับขี่ในเมือง : แสนอึดอัด
สำหรับการขับขี่ในเมือง ผมเองละครับ ที่อยากรู้ให้ครบรสชาติ เลยติดปี๊บเข้าไปด้วยซะเลย (ทั้งๆที่ไม่มีของจะแบก) เพื่อวัดระยะการมุด และความยากง่ายของการขับขี่ ต้องขอบอกว่า
"อึดอัด" ครับ แน่นอนครับ เราจะโทษรถก็ไม่ได้ เพราะเมื่อติดปี๊บ ไซส์ความกว้างของตัวรถจะใหญ่ขึ้นมามากทันที แถมถ้าชนอะไรล้มไป เรื่องคงจะยาวมาก ผมจึงต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษครับ ผลที่ออกมาเลยเหมือนกับเรานั่งตุ๊กตุ๊กครับ ความกว้างของมันประมาณนั้นเลย
ถามว่ามุดได้มั้ย ...อื้มมม... ก็ได้บ้างครับ สำหรับช่องที่ใหญ่จริงๆ ส่วนการรูดขวา ไปยังเลนฝั่งตรงข้าม(วิ่งตรงเกาะกลาง) ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากครับ เพราะรถฝั่งเลนสวนถ้าไม่เห็นเราแต่ไกล รับรองว่าตกใจกับปี๊บข้างขวาของรถเราที่ยื่นไปเลนฝั่งเค้าอย่างมากแน่นอนครับ ไม่ควรอย่างยิ่ง
หลังจากที่มุดอย่างทุลักทุเล ก็เริ่มรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่มาที่ขาครับ หลายๆคนกังวลกับเรื่องนี้ สำหรับผมเองก็รู้สึกว่าร้อนครับ ทนได้ไหม มันก็ได้ครับ แต่ช่วงรถติดไฟแดง ถ้าต้องเอาขาลง ผมก็จะบิดขา หามุมที่พัดลมกับไอร้อนไม่มาปะทะขาผมครับ (มันร้อน) หลักจากผ่านการจราจรขาออกของกรุงเทพมหานครตั้งแต่ช่วงดอนเมือง มาจนถึงคลองต้น ๆ ของถนนรังสิต-นครนายก พอผ่านไปช่วงคลอง 10กว่าๆ ก็เริ่มไม่มีไฟแดง และเริ่มเข้าสู่โหมดการขับขี่ทางโล่งๆ ยาวๆ ซะทีครับ
การขับขี่นอกเมือง : สวรรค์ของคนเดินทางไกล
พอถึงช่วงทางโล่งก็ได้ทดสอบการใช้งานทางไกลอย่างจริงจังเสียทีครับ ผมเริ่มปรับท่าทางหาจุดนั่งที่สบาย แม้ถังน้ำมันจะมีขนาดใหญ่แต่ก็สามารถหนีบถังนั่งสบายๆได้ครับ แฮนด์ถือว่ายกสูงอยู่ วางแขนง่ายครับ ระหว่างขับขี่ ถ้าผมจะพักไปด้วยผมมักจะวางส้นเท้าที่พักเท้าครับ(ปกติจะจิกปลายเท้า) แรงบิด การเร่งแซงในแต่ละครั้ง มั่นใจและเหลือเฟือครับ กับกำลังเครื่องขนาดนี้ เรื่องนี้หายห่วง คิดจะแซง ก็แซงได้หมดครับ
เมื่อถึงทางโล่งยาวๆ ก็ได้ลองเปิดใช้ระบบCruise Control ดูครับ แรก ๆ อาจมีไม่ชินกันบ้าง แต่พอชินและมั่นใจว่าระบบจะตัดกรณีใดบ้างแล้ว ก็จะใช้ง่าย ติดมือครับ แต่ผมว่าไม่ควรใช้ที่ความเร็วสูงครับ เพราะตอนเปิดใช้ เครื่องยนต์จะเร่งค้างตลอดเวลา ไม่เว้นแม้ตอนถึงโค้ง ถ้าชิน ๆ กับการผ่อนคันเร่งเพื่อใช้เอ็นจิ้นเบรคนี่ มีเหวอแน่นอนครับ เพราะมันไม่มีเอ็นจิ้นช่วยเลย
สะดวกสบาย ใช้ง่ายถ้าเข้าใจ เหมาะกับคาแรคเตอร์ขี่ทางไกลมากครับ
การขับขี่ลุยทางดินทางฝุ่น : มั่นใจได้ แม้รถจะหนักไปนิด
มาถึงอีกหนึ่งเส้นทางที่ถ้าทำรีวิวรถรุ่นนี้ คงต้องเอามันมาแตะกันบ้างครับ กับการยืนขี่สนุก ๆ ลุย ๆ ไปบนทางฝุ่น และเนินดิน โดยในเส้นทางที่ขี่ไปนั้น ก็มีได้เจอบ้างครับ สำหรับทางดินนั้นด้วยล้อที่ให้ติดรถมามีลักษณะเป็นบั้ง ๆ ทำให้มั่นใจในการขี่ขึ้นเยอะครับ รถสามารถตะกุยผ่านถนนไปได้อย่างมั่นคงไม่เสียอาการ กับล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว และสเตอร์หลังขนาด 43 ฟัน ให้แรงบิดในรอบต่ำติดมือ มาทันที ถือว่าทำมาได้เหมาะสมกับรถครับ ตัวโช๊คที่ให้มานุ่ม หนึบมันใจ ช่วงขี่ลุยเนินดินไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกจะมั่นคง ไหลไปเนิบ ๆ ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ครับ
องศาแฮนด์และพักเท้า เหมาะมากสำหรับการยืนขี่ครับ พลังของเครื่องยนต์ที่ปล่อยออกไป บวกกับล้อ และน้ำหนักรถ ทำให้ขี่ขึ้น ๆ ลง ๆ เนินไปมา แปปเดียวก็ชิน และกล้าที่จะลุยมากขึ้นครับ แม้ผมจะไม่ได้ขี่เทสโหด ๆ อย่างเว็บต่างประเทศ แต่อย่างที่บอกครับ ถ้าเจอทางฝุ่น ถนนที่ยังทำไม่เสร็จตามเส้นทางต่างจังหวัด มั่นใจกับมันได้ครับ ว่ามันจะพาเราผ่านอุปสรรคไปได้ง่ายๆ สบายแน่นอน
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมัน กับรถสไตล์ทัวร์ริ่งน่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ กับรถคันนี้ที่มีขนาด 1200 cc. ดูเหมือนจะกินน้ำมันมากนะครับ แต่ด้วยความที่เส้นทางวันนี้วิ่งออกต่างจังหวัดเป็นหลัก รถโล่ง และใช้ความเร็วประมาณ140 km/hr ตลอดส่วนใหญ่ของเส้นทางนะครับ ผลที่ออกมาเป็นดังนี้ครับ
ระยะทางที่วิ่งไปทั้งหมด
395.3 กิโลเมตรอัตราการบริโภคน้ำมัน 26.41 ลิตร
เมื่อนำมาหารกัน จะได้เท่ากับ 14.96 กิโลเมตร ต่อ 1 ลิตร
หรือเท่ากับ กิโลละ 2.14 บาท ครับ
: ค่าบำรุงรักษา และระยะการเข้าเซอร์วิส
สำหรับระยะเวลาการเข้าเซอร์วิสนั้น ก็ระยะยาวขึ้นแล้วครับ และราคาก็ลดลงมาแล้ว มีระยะตั้งวาว์ลอยู่ที่ 30,000 กิโลเมตรครับ ค่าใช้จ่ายและสิ่งที่เช็ค เป็นดังตารางนี้ครับ
: ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับราคารถ
สำหรับราคา ตัว Multistrada Enduro มี 3 ราคาครับ
Multistrada 1200 Enduro Red / Grey 1,035,000 บาท
Multistrada 1200 Enduro Traveller Version Red / Grey 1,090,000 บาท
Multistrada 1200 Enduro Traveller Proversion Red / Grey 1,102,000 บาท
สิ่งที่ให้มาผมว่าสำหรับรถทัวร์ริ่งระดับไฮเอนด์สักคันควรจะมี ก็ถือว่าให้มาครบถ้วนครับ ทั้งสมรรถนะรถ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่กล่าวมาด้านบน กับคาแรคเตอร์รถที่ชัดเจน ไม่ได้แค่ขี่ง่าย ขี่คล่อง เรื่อย ๆ แต่ยังแฝงด้วยพละกำลังในตัวเองที่พร้อมจะเกรี้ยวราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000,000 บาท ผมว่าก็สมควรแก่ราคาครับ ในความรู้สึกไม่ถึงกับถูก แต่ก็ไม่ได้แพงไปแน่นอน สมตัวมันแล้วครับ
: สรุปความรู้สึกสุดท้าย
สำหรับรถคันนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าดูคาติจะผลิตออกมา ผมก็ใจจดใจจ่อที่จะได้ลองขี่มันนะครับ เพราะจริง ๆแค่ตัว Multitrada 1200 ที่โมเดลเชน เมื่อปี 2015 ผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่มันทำได้มามากแล้ว การที่จะผลิตอะไรให้ "สุด" กว่าเดิมเข้าไปอีกนั้น ย่อมต้องมีอะไรแตกต่าง ฉีกแนว และที่สำคัญคือ "ดี" กว่าของเดิมอีกตังหาก
การที่รถคันนี้ ได้ออกมาโลดแล่น และได้ลองขับขี่ จึงต้องขอบอกว่า ปลื้มมากครับ ถือว่าดูคาติ กล้า ที่จะก้าวไปสู้โลกที่ไม่เคยไปมาก่อน กล้าที่จะเปลี่ยนไอเดียให้เป็นความจริง ภาพลักษณ์ กับคาแรคเตอร์รถที่ พ่วงทั้งทัวร์ริ่งแบบน้อง ๆ ของมัน แต่แฝงกลิ่นไอของการตะลุยแบบวิบากเข้าไปจนออกมาเป็นรถคันนี้ มันช่างประณีต เรียบเนียน กลมกล่อม เข้ากันดีจังครับ
ผมเชื่อครับ ว่าผู้ที่ซื้อรถรุ่นนี้ไป หลายคน (น่าจะร้อยละ90) ก็ไม่ได้เอารถลงไปลุยดิน กระโดดเนิน หรอกครับ ยังคงทัวร์ริ่งขี่ถนนดำท่องเที่ยวเดินทางไกลเป็นหลักเหมือนเดิม
แต่.. สิ่งที่เจ้ารถคันนี้ มีให้ และไม่เหมือนใคร .. มันคือ ฟิลลิ่ง มันคือ ไลฟสไตล์ ที่บ่งบอกว่า คุณ ไปสุดทางของ "รถสายทัวร์ริ่ง ที่พร้อมจะลุยวิบากได้" แค่ได้นั่งคล่อมอย่างสง่าผ่าเผย ก็โครตจะเท่ห์แล้วครับ ไม่ต้องคิดถึงตอนขี่ไปตามท้องถนน ต้องขอบอกเลยครับว่า มันคือ "ความภูมิใจ" ครับ
ผมขอขอบคุณมาก ๆ เลย สำหรับท่านที่ติดตามอ่านคอนเท้นมาถึงจุดนี้นะครับ
ถ้าเห็นว่าบทความนี้พอเป็นประโยชน์บ้าง ก็อยากขอกำลังใจด้วยการช่วยแชร์ด้วยนะครับ
Golfy